เวลาทำการ : วันจันทร์ - วันศุกร์ 10.00-20.00 | วันเสาร์ - วันอาทิตย์ 10.00-20.00
เวลาทำการ : วันจันทร์ - วันศุกร์ 10.00-20.00
วันเสาร์ - วันอาทิตย์ 10.00-20.00

จิตเวชเด็กและวัยรุ่น
Child and adolescent psychiatry

ขอบเขตของจิตเวชเด็กและวัยรุ่น คือดูแลภาวะทางจิตใจของเด็กตั้งแต่เกิด จนถึงอายุ 18 ปี แต่ส่วนใหญ่แล้วจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นจะดูแลคนไข้เด็กที่อายุตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไป เนื่องจากในช่วงแรกเกิดจนถึง 6 ขวบ กุมารแพทย์หรือหมอเด็กจะเป็นฝ่ายที่ดูแลในด้านพัฒนาการเด็กเป็นหลัก แต่หลังจาก 6 ขวบ หากยังพบความผิดปกติทางพัฒนาการ ทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นก็จะรับหน้าที่ในการดูแลรักษาต่อ การรักษาภาวะทางจิตเวชต่างๆในเด็กและวัยรุ่นก็เช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ คือมีทั้งการใช้ยารักษาหรือการทำจิตบำบัดหรือพฤติกรรมบำบัดเช่น การกระตุ้นพัฒนาการ การปรับพฤติกรรม การฝึกเทคนิคการเลี้ยงลูกร่วมด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นจะเป็นผู้ประเมินและวางแผนในการดูแลรักษาต่อเนื่อง

จิตเวชเด็กและวัยรุ่น
อาการหรือโรคที่พบบ่อยในเด็กและวัยรุ่นมีดังนี้
  • โรคสมาธิสั้น (ADHD)
  • ความบกพร่องในการเรียนรู้ (learning disorder: LD)
  • โรคออทิสติก (Autistic)
  • โรคแอสเพอร์เกอร์ (Asperger)
  • โรควิตกกังวลต่อการแยกจาก (separation anxiety disorder)
  • ปัญหาพฤติกรรมเกเรรุนแรง (conduct disorder)
  • ปัญหาดื้อ ต่อต้านพ่อแม่ (oppositional Defiant Disorder: ODD)
  • ปัญหาติดเกมส์ ติดโทรศัพท์ ติดมือถือ ติดจอ ติดคอมพิวเตอร์ (internet and gaming disorder)
กลุ่มอาการอื่นๆในเด็กและวัยรุ่น
  • อาการซน ดื้อ อยู่ไม่นิ่ง ไม่เชื่อฟัง ต่อต้าน
  • ปัญหาพัฒนาการด้านการพูด ไม่พูด พูดไม่ชัด พูดช้า
  • ปัญหาเด็กพัฒนาการล่าช้า
  • กระตุ้นทักษะการเรียน พัฒนาการด้านการเรียน
  • ปัญหาการเลี้ยงดูบุตร ฝึกทักษะในการเลี้ยงลูก

กระตุ้นพัฒนาการ การปรับพฤติกรรม ฝึกเทคนิคการเลี้ยงลูก
Early intervention, Behavior modification, Parenting skill

  1. กระตุ้นพัฒนาการ (Early intervention)
  2. การปรับพฤติกรรม (Behavior modification)
  3. ฝึกเทคนิคการเลี้ยงลูก (Parenting skill)
1. กระตุ้นพัฒนาการ (Early intervention)

การกระตุ้นพัฒนาการ (Early intervention) คือ การให้การช่วยเหลือเด็กตั้งแต่แรกเกิด ที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ หรือมีความเสี่ยงที่จะมีความบกพร่องทางพัฒนาการ เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการตามวัยและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระในสังคม

การกระตุ้นพัฒนาการสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความบกพร่องทางพัฒนาการของเด็ก เช่น การให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครอง การให้การฝึกทักษะต่างๆ ให้กับเด็ก การจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับเด็ก เป็นต้น

การกระตุ้นพัฒนาการมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้มักมีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กปกติทั่วไป หากได้รับการกระตุ้นพัฒนาการอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาทักษะต่างๆ ที่จำเป็นในการใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น ปัญหาด้านอารมณ์ พฤติกรรม และการเรียนรู้

กระตุ้นพัฒนาการ
ประโยชน์ของการกระตุ้นพัฒนาการ ได้แก่
  • ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการตามวัย
  • ช่วยให้เด็กสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระในสังคม
  • ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา
เป้าหมายของการกระตุ้นพัฒนาการ ได้แก่
  • ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา
  • ส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษา
  • ส่งเสริมพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว
  • ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม
  • ส่งเสริมพัฒนาการด้านการช่วยเหลือตนเอง
รูปแบบของการกระตุ้นพัฒนาการ ได้แก่
  • การกระตุ้นพัฒนาการแบบรายบุคคล (Individualized intervention)
  • การกระตุ้นพัฒนาการแบบกลุ่ม (Group intervention)
  • การกระตุ้นพัฒนาการแบบครอบครัว (Family-centered intervention)

ผู้ปกครองควรสังเกตพัฒนาการของเด็กอย่างใกล้ชิด หากพบว่าเด็กมีพัฒนาการล่าช้าหรือผิดปกติ ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสม

2. การปรับพฤติกรรม (Behavior modification)

การปรับพฤติกรรม (Behavior modification) คือ การนำเอาหลักการและทฤษฎีทางจิตวิทยาการเรียนรู้มาประยุกต์ใช้อย่างเป็นระบบเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพ ความสามารถ ความเป็นตัวของตัวเอง และแก้ไขปัญหาของเด็ก โดยเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้หรือที่วัดได้

การปรับพฤติกรรมมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่
  • ส่งเสริมพฤติกรรมที่เหมาะสมให้คงอยู่ต่อเนื่อง เช่น ส่งเสริมให้เด็กมีพฤติกรรมการเรียนที่ดี มีความรับผิดชอบ เป็นต้น
  • ลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เช่น พฤติกรรมก้าวร้าว พฤติกรรมติดยา พฤติกรรมติดเกม เป็นต้น
  • สอนทักษะใหม่ๆ ให้กับบุคคล เช่น ทักษะการสื่อสาร ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการจัดการอารมณ์ เป็นต้น

การปรับพฤติกรรมสามารถประยุกต์ใช้ในการตั้งแต่เด็ก โดยอาจใช้กับเด็กทั่วไป หรือใช้กับเด็กที่มีภาวะผิดปกติทางจิตเวช เช่น ออทิสติก สมาธิสั้น โรคซึมเศร้า เป็นต้น

เทคนิคการปรับพฤติกรรมมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

ตัวอย่างเทคนิคการปรับพฤติกรรม ได้แก่
  • การให้รางวัล (Reward) คือ การเสริมแรงให้บุคคลแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม โดยการให้รางวัลอาจเป็นการให้สิ่งของ การให้คำชม หรือการให้สถานภาพ เป็นต้น
  • การลงโทษ (Punishment) คือ การลดแรงจูงใจให้บุคคลแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม โดยการลงโทษอาจเป็นการจำกัดพฤติกรรมบางอย่าง งดสิ่งที่อยากได้ เป็นต้น
  • การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม (Environmental modification) คือ การปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม หรือลดโอกาสในการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
  • การฝึกทักษะ (Skill training) คือ การสอนทักษะใหม่ๆ ให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กสามารถแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปรับพฤติกรรมเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและต้องใช้ความอดทน โดยผู้ดำเนินการปรับพฤติกรรมควรมีความรู้ความเข้าใจในหลักการและทฤษฎีทางจิตวิทยาการเรียนรู้เป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถออกแบบโปรแกรมการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสมกับเด็กและเป้าหมายที่ต้องการ โดยจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น หรือ นักจิตวิทยาจะนัดหมายมาฝึกปรับพฤติกรรมที่คลินิก และให้คำแนะนำผู้ปกครองไปฝึกปฏิบัติกับลูกต่อที่บ้าน

การปรับพฤติกรรม
3. การฝึกเทคนิคการเลี้ยงลูก (Parenting skill)

การฝึกเทคนิคการเลี้ยงลูก (Parenting skill) คือ การเรียนรู้และฝึกฝนทักษะต่างๆ ที่จำเป็นในการเลี้ยงดูลูก เพื่อให้สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา

ผู้ปกครองสามารถปรึกษาจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น หรือ นักจิตวิทยาที่คลินิก เพื่อวิเคราะห์แนวทางการเลี้ยงลูกให้เหมาะสมกับลูกของคุณได้

การฝึกเทคนิคการเลี้ยงลูก
ทักษะการเลี้ยงลูกที่สำคัญ ได้แก่
  • ทักษะการสื่อสาร พ่อแม่ควรสื่อสารกับลูกอย่างเหมาะสม ทั้งการพูด การฟัง และการแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง
  • ทักษะการอบรมสั่งสอน พ่อแม่ควรอบรมสั่งสอนลูกอย่างเหมาะสม เพื่อให้ลูกมีพฤติกรรมที่เหมาะสม
  • ทักษะการจัดการอารมณ์ พ่อแม่ควรจัดการอารมณ์ของตนเองได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ทักษะการแก้ปัญหา พ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเอง
  • ทักษะการส่งเสริมพัฒนาการ พ่อแม่ควรส่งเสริมพัฒนาการของลูกในด้านต่างๆ
การฝึกเทคนิคการเลี้ยงลูกมีประโยชน์มากมาย เช่น
  • ช่วยให้พ่อแม่สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ช่วยให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา
  • ช่วยให้ครอบครัวมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ตัวอย่างการฝึกเทคนิคการเลี้ยงลูก เช่น
  • พ่อแม่ควรพูดคุยกับลูกเป็นประจำ เพื่อให้ลูกรู้สึกอบอุ่นและได้รับการยอมรับ
  • พ่อแม่ควรชื่นชมลูกเมื่อลูกทำดี เพื่อให้ลูกมีกำลังใจทำดีต่อไป
  • พ่อแม่ควรอธิบายให้ลูกเข้าใจถึงเหตุผลของการกระทำต่างๆ ของพ่อแม่ เพื่อให้ลูกสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ ของครอบครัว
  • พ่อแม่ควรกำหนดขอบเขตและกฎเกณฑ์ให้ชัดเจน เพื่อให้ลูกรู้ว่าอะไรควรทำและอะไรไม่ควรทำ
  • พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก เพื่อให้ลูกสามารถเรียนรู้จากการกระทำของพ่อแม่

การฝึกเทคนิคการเลี้ยงลูกเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรให้ความสำคัญ เพื่อให้สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ